วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

พละ


สุขศึกษาและพลศึกษาสำคัญอย่างไร?

สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมายเพื่อการดำรงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ และการพัฒนาคุณ ภาพชีวิตของบุคคล ครอบครัว และชุมชนให้ยั่งยืน
  • สุขศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ เจตคติ คุณธรรม ค่านิยม และการปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพควบคู่ไปด้วยกัน
  • พลศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกมและกีฬา เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา

หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดเนื้อหาสาระสุขศึกษาและพลศึกษาไว้อย่างไร?

เนื้อหาหรือขอบข่ายองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ประกอบด้วย
  • การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เรื่องธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ความสัมพันธ์เชื่อมโยงในการทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย รวมถึงวิธีปฏิบัติตนเพื่อให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัย
  • ชีวิตและครอบครัว ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เรื่องคุณค่าของตนเองและครอบครัว การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่าง กาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกทางเพศ การสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่น สุขปฏิบัติทางเพศ และทักษะในการดำเนินชีวิต
  • การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา ทั้งประเภทบุคคลและประเภททีมอย่างหลากหลาย ทั้งไทยและสากล การปฏิบัติตามกฎ กติกา ระเบียบ และข้อตกลงในการเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา และความมีน้ำใจนักกีฬา
  • การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักและวิธีการเลือกบริโภคอาหาร ผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและการป้องกันโรคทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ
  • ความปลอดภัยในชีวิต ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เรื่องการป้องกันตนเองจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ทั้งความเสี่ยงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุ ความรุนแรง อันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติด รวมถึงแนวทางในการสร้างเสริมความปลอดภัยในชีวิต

เด็กจะได้รับประโยชน์อะไรจากสุขศึกษาและพลศึกษา?

กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดคุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ไว้ ดังนี้
  • มีความรู้และเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ วิธีการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวและกลุ่มเพื่อน
  • มีสุขนิสัยที่ดีในเรื่องการกิน การพักผ่อนนอนหลับ การรักษาความสะอาดอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การเล่นและการออกกำลังกาย
  • ป้องกันตนเองจากพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การใช้สารเสพติด การล่วงละเมิดทางเพศ และรู้จักปฏิเสธในเรื่องที่ไม่เหมาะสม
  • ควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้ตามพัฒนาการในแต่ละช่วงอายุ มีทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพและเกมได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย
  • มีทักษะในการเลือกบริโภคอาหาร ของเล่น ของใช้ ที่มีผลดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองจากอุบัติเหตุได้
  • ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อมีปัญหาทางอารมณ์และปัญหาสุขภาพ
  • ปฏิบัติตนตามกฎระเบียบข้อตกลง คำแนะนำ และขั้นตอนต่างๆ และให้ความร่วมมือกับผู้อื่นด้วยความเต็มใจจนงานประสบความสำเร็จ
  • ปฏิบัติตามสิทธิของตนเองและเคารพสิทธิของผู้อื่นในการเล่นเป็นกลุ่ม

ครูสอนสุขศึกษาและพลศึกษาให้ลูกอย่างไร?

สุขภาพมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากเด็กๆได้เรียนรู้หลักการต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ จะทำให้เด็กมีความรู้ เจตคติ มีการปฏิบัติที่ดีและถูกต้อง ทั้งยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกด้วย การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เด็ก จึงเป็นการช่วยให้เด็กได้เรียนรู้หลักการเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่แรกเริ่ม และจะนำไปดัดแปลงใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองและครอบครัวได้เร็วและมากยิ่งขึ้น เป้าหมายของการสอนสุขศึกษาและพลศึกษา คือ การสอนให้เด็กเกิดความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติที่ดีต่อสุขภาพ เกิดสุขภาวะองค์รวม คือ ภาวะที่หมดทุกข์และมีสุข ตัวอย่างกิจกรรมที่ครูจัดให้เด็กที่โรงเรียนมีดังนี้
  • สอน ให้เข้าใจถึงทักษะในการเลือกบริโภคอาหาร การเลือกของเล่น ของใช้ ที่มีผลดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงและป้อง กันตนเองจากอุบัติเหตุได้
  • จัดกิจกรรม สร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ มีการทดสอบสมรรถภาพทางกาย จัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย เพื่อให้เด็กมีทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน การเคลื่อนไหวเฉพาะอย่าง การออกกำลังกาย เล่นเกม และเล่นกีฬา รวมถึงการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันในอิริยาบถต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ แบบอยู่กับที่ และแบบประ กอบอุปกรณ์
  • ฝึก ให้เด็กรู้จักวิธีปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ปฏิบัติตนตามกฎระเบียบ ข้อตกลง คำแนะนำ และขั้นตอนต่างๆ ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นด้วยความเต็มใจจนงานประสบความสำเร็จ ปฏิบัติตามสิทธิของตนเองและเคารพสิทธิของผู้อื่นในการเล่นเป็นกลุ่ม สามารถจัดการกับอารมณ์และความเครียด รู้จักวิธีควบคุมอารมณ์และความคับข้องใจที่ไม่เป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เช่น ทำสมาธิ เล่นกีฬา การร่วมกิจกรรม นันทนาการ การคลายกล้ามเนื้อ
  • เตรียมพร้อมป้องกันตนเอง จากพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การเสี่ยงต่อสุขภาพ เกิดอันตรายต่อชีวิต เช่น การรับประ ทานอาหารสุกๆ ดิบๆ การมีน้ำหนักตัวเกิน การขาดการออกกำลังกาย การถูกล่อลวงต่างๆ การล่วงละเมิดทางเพศ การใช้สารเสพติด และรู้จักปฏิเสธในเรื่องที่ไม่เหมาะสม

พ่อแม่จะช่วยส่งเสริมสุขศึกษาและพลศึกษาให้ลูกได้อย่างไร

คนเราจะมีความสุขอย่างแท้จริง ก็ต้องดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง คือ จะต้องปฏิบัติถูกต้องต่อชีวิตของตนเอง และต่อสภาพแวด ล้อม ทั้งทางสังคม ทางธรรมชาติ และทางวัตถุโดยทั่วไป รวมทั้งเทคโนโลยี คนที่รู้จักดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ย่อมมีชีวิตที่ดีงามและมีความสุขที่แท้จริง ซึ่งหมายถึง การมีความสุขที่เอื้อต่อการเกิดมีความสุขของผู้อื่นด้วย ซึ่งมีตัวอย่าง ดังนี้
  • สร้างเสริมสุขนิสัยที่ดี ในเรื่องการรับประทานอาหาร การพักผ่อนนอนหลับ การรักษาความสะอาดอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงการเล่นและการออกกำลังกาย ตามข้อกำหนดสุขบัญญัติแห่งชาติ (National Health Disciplines) 10 ประการ ที่เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป พึงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นสุขนิสัย เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ดังนี้
    • ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
    • รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
    • ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย
    • กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
    • งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
    • สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
    • ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี
    • ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
    • มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม
  • พัฒนาทักษะชีวิต (Life Skills) ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกได้เผชิญสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกและทำซ้ำๆให้เกิดความคล่องแคล่ว เคยชิน จนเป็นลักษณะนิสัย เพื่อสร้างเสริมทักษะต่างๆ ได้แก่ การรู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง และเห็นคุณค่าของตนเอง การรู้จักคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ คิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา รู้จักแสวงหาและใช้ข้อมูลความรู้ การสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การปรับ ตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง การตั้งเป้าหมาย การวางแผนและดำเนินการตามแผน ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคมและซาบซึ้งในสิ่งที่ดีงามรอบตัว
  • เสริมสร้างน้ำใจนักกีฬา (Spirit) ให้เกิดเป็นคุณธรรมประจำใจของการเล่นร่วมกัน อยู่ร่วมกัน และมีชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุขและมีประสิทธิภาพ พฤติกรรมที่แสดงถึงความมีน้ำใจนักกีฬา เช่น การมีวินัย เคารพกฎกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

เกร็ดความรู้เพื่อครู

การสอนให้นักเรียนทำกิจกรรมทางพลศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้นักเรียนมีอุปนิสัยที่ดีต่อการทำกิจกรรม ซึ่งจะมีผลสืบเนื่องต่อไปในวัยผู้ใหญ่ด้วย เช่น ครูบางคนสอนเทคนิคที่ช่วยลดความกดดัน เป็นต้นว่า โยคะ และการฝึกหายใจ ที่เป็นประโยชน์ไม่เพียงต่อกิจกรรมพลศึกษา แต่ยังมีประโยชน์ต่อการเรียนวิชาอื่นด้วย ส่วนการสอนให้นักเรียนเล่นกีฬาของท้อง ถิ่นนั้น ยังช่วยให้นักเรียนมีแรงจูงใจเข้าร่วมกิจกรรม อีกทั้งยังช่วยนักเรียนเรียนรู้วัฒนธรรมไทยอีกด้วย

บรรณานุกรม

  1. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). 2542. วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม. (พิมพ์ครั้งที่ ๖) กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศยาม.
  2. พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตฺโต). 2543. การศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนกินอยู่เป็น. (พิมพ์ครั้งที่ ๔) กรุงเทพมหานคร : บริษัทสหธรรมิก จำกัด.
  3. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). 2549. สุขภาวะองค์รวมแนวพุทธ ภาวะที่ปลอดทุกข์และเป็นสุขในระบบชีวิตแห่งธรรมชาติและสังคมยุคไอที. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา.
  4. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.

หน้าที่พลเมือง

                                                                                          ความหมาย
       พลเมืองดี หมายถึง ประชาชนที่ประพฤติปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคมมีความรับผิดชอบต่อ
หน้าที่ ของตนเอง รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง และปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมไม่ละเมิดล่วงล้ำสิทธิ
และเสรีภาพของ บุคคลอื่น
ความสำคัญ
      พลเมืองเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมของสังคมไทย เช่นเดียวกับสังคมอื่น ๆ ทุกสังคมย่อมต้องการพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งหมายถึงความมีร่างกายจิตใจดี คิดเป็น ทำเป็น แก้ไขปัญหาได้ มีประสิทธิภาพเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้า ความมั่นคงให้กับประเทศชาติและการเป็นพลเมืองดีนั้นย่อมต้องการปฏิบัติตามบรรทัดฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมมีคุณธรรมเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตอีกด้วย เพื่อการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน
วัตถุประสงค์ของการพัฒนาให้เป็นพลเมืองดี
     วัตถุประสงค์ของการพัฒนาให้เป็นพลเมืองดี มีดังนี้
        1. เพื่อให้รู้จักปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม
        2. เพื่อปลูกฝังทักษะการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
        3. เพื่อปลูกฝังความมีระเบียบวินัย และเคารพกฎหมาย
        4. เพื่อปลูกฝังให้มีทัศนคติและค่านิยมที่ดีต่อสังคม
ลักษณะของพลเมืองดี
        การเป็นพลเมืองดีจะมีลักษณะอย่างไรนั้น สังคมจะเป็นผู้กำหนดลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อที่จะได้พลเมือง ที่ดี ต้องการังนั้นคุณสมบัติของสมาชิกในสังคมก็จะต้องมีคุณสมบัติที่เป็นพื้นฐานและคุณสมบัติเฉพาะ ดังนี้
       คุณสมบัติพื้นฐาน คือ คุณสมบัติทั่วไปของการเป็นพลเมืองดี เช่นขยัน อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด
รับผิดชอบ มีเหตุผล โอบอ้อมอารี มีเมตตา เห็นประโยชน์ส่วนรวมมีความสำคัญเสมอ
       คุณสมบัติเฉพาะ คือ คุณสมบัติเฉพาะอย่างที่สังคมต้องการให้บุคคลพึ่งปฏิบัติ เช่นต้องการบุคคลที่มี
คุณธรรมนำความรู้ ต้องการให้คนในสังคมไทยหันมาสนใจ พัฒนาวิจัยในงานอาชีพด้านการเกษตรให้มาก
เนื่องจากเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เนื่องจากเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เพื่อการพัฒนาสังคมให้เจริญ
ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก
1. เคารพกฎหมายและปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับของสังคม เมื่อพลเมืองทุกคนปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับของสังคม และบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น หรือไม่กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนดก็จะทำให้รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณในการป้องกัน ปราบปรามและจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษ นอกจากนี้ยังทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบสงบสุขทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ ไม่หวาดระแวงคิดร้ายต่อกัน
2.เป็นผู้มีเหตุผล และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกคนย่อมมีอิสรเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งการรู้จักการใช้เหตุผลในการดำเนินงาน จะทำให้ช่วยประสานความสัมพันธ์ ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีงามต่อกัน
3.ยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่ เมื่อมีความขัดแย้งกันในการดำเนินกิจกรรมอันเกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และจำเป็นต้องตัดสินปัญหาด้วยการใช้เสียงข้างมากเข้าช่วย และมติส่วนใหญ่ตกลงว่าอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงกับความคิดของเรา เราก็ต้องปฏิบัติตาม เพราะเป็นมติของเสียงส่วนใหญ่นั้น
4.เป็นผู้นำมีน้ำใจประชาธิปไตย และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ผู้ที่มีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะต้องมีความเสียสละในเรื่องที่จำเป็น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมและรักษาไว้ซึ่งสังคมประชาธิปไตย  เป็นการส่งผลต่อความมั่นคงและความก้าวหน้าขององค์กร ซึ่งสุดท้ายแล้วผลประโยชน์ดังกล่าวก็ย้อนกลับมาสู่สมาชิกของสังคม  เช่นการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง  ถึงแม้ว่าเราจะมีอาชีพบางอย่างที่มีรายได้ตลอดเวลา เช่นค้าขาย แต่ก็ยอมเสียเวลาค้าขายเพื่อไปลงสิทธิ์เลือกตั้ง บางครั้งเราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือกิจกรรมส่วนร่วม  เช่น การสมัครเป็นกรรมการเลือกตั้ง   หรือสมาคมบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น
5.เคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ควรรูจักเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเช่นบุคคลมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น   การพูด แต่ต้องไม่เป็นการพูดแสดงความคิดเห็นที่ใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียหาย
6.มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม ชุมชน ประเทศชาติ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ย่อมต้องมีการทำงานเป็นหมู่คณะ จึงต้องมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในงานนั้นๆให้สมาชิกแต่ละคนนำไปปฏิบัติตามที่ได้รับหมอบหมายไว้อย่างเต็มที่
7.มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมือง การปกครอง ในสังคมประชาธิปไตยนั้นสมาชิกทุกคนต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมืองการปกครอง เช่น การเลือกตั้ง เป็นต้น
8.มีส่วนร่วมในการป้องกัน แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง ช่วยสอดส่องพฤติกรรมมั่วสุมของเยาวชนในสถานบันเทิงต่าง ไม่หลงเชื่อข่าวลือคำกล่าวร้ายโจมตี ไม่มองผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเราเป็นศัตรู รวมถึงสงเสริมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆด้วยสันติวิธี 
9. มีคุณธรรม จริยธรรม และปฏิบัติตนตามหลักธรรม ทุกคนควรมีศีลธรรมไว้เป็นหลักในการควบคุมพฤติกรรมของบุคลให้ดำเนินไปอย่างเหมาะสม ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษใดๆก็ตาม
คุณธรรม  จริยธรรมของการเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก
คุณธรรม  จริยธรรมคือ สิ่งที่เป็นความดีควรประพฤติปฏิบัติ เพราะจะนำความสุข ความเจริญ ความมั่นคงมาสู่ประเทศชาติ สังคม และบุคคล  คุณธรรมจริยธรรมที่สำคัญ ๆ มีดังต่อไปนี้
        1. ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ประเทศชาติ
        2. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่  หมายถึง การปฏิบัติกิจการงานของตนเอง และที่ได้รับมอบหมายด้วยความมานะพยายาม อุทิศกำลังกาย กำลังใจอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้รวมไปถึงการรับผิดเมื่องานล้มเหลว พยายามแก้ไขปัญหาและอุปสรรคโดยไม่เกี่ยงงอนผู้อื่น
        3. ความมีระเบียบวินัย  หมายถึง การเป็นผู้รู้และปฏิบัติตามแบบแผนที่ตนเอง  ครอบครัว และสังคมกำหนดไว้ โดยที่จะปฏิเสธไม่รับรู้กฎเกณฑ์หรือกตาต่าง ๆ ของสังคมไม่ได้ 
        4. ความซื่อสัตย์  หมายถึง การปฏิบัติตน ทางกาย วาจา จิตใจ ที่ตรงไปตรงมา  ไม่แสดงความคดโกงไม่หลอกลวง  ไม่เอาเปรียบผู้อื่น  ลั่นวาจาว่าจะทำงานสิ่งใดก็ต้องทำให้สำเร็จเป็นอย่างดี  ไม่กลับกลอก  มีความจริงใจต่อทุกคน  จนเป็นที่ไว้วางใจของคนทุกคน
        5. ความเสียสละ  หมายถึง การปฏิบัติตนโดยอุทิศกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังปัญญา เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมด้วยความตั้งใจจริง  มีเจตนาที่บริสุทธิ์  คุณธรรมด้านนี้เป็นการสะสมบารมีให้แก่ตนเอง ทำให้มีคนรักใคร่ไว้วางใจ เป็นที่ยกย่องของสังคม  ผู้คนเคารพนับถือ
        6. ความอดทน  หมายถึง ความเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคใด ๆ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้บังเกิดผลดีโดยไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน  ความอดทนมี 4 ลักษณะ คือ
- อดทนต่อความยากลำบาก เจ็บป่วย ได้รับทุกขเวทนาก็ไม่แสดงอาการจนเกินกว่าเหตุ
- อดทนต่อการตรากตรำทำงาน ไม่ทอดทิ้งงาน ฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบผลสำเร็จ
- อดทนต่อความเจ็บใจ  ไม่แสดงความโกรธ  ไม่อาฆาตพยาบาท  อดทนต่อคำเสียดสี
- อดทนต่อกิเลส คือ ไม่อยากได้ของผู้อื่นจนเกิดทุกข์ ไม่ตอบโต้คนอื่นที่ทำให้เราโกรธ และไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่จะพาเราไปพบกับความเสียหาย
        7. การไม่ทำบาป  หมายถึง การงดเว้นพฤติกรรมที่ชั่วร้าย  สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเพราะเป็นเรื่องเศร้าหมองของจิตใจ  ควรงดเว้นพฤติกรรมชั่วร้าย 3 ทาง คือ
- ทางกาย  เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทุจริต ไม่ลักขโมย ไม่ผิดประเวณี
- ทางวาจา  เช่น ไม่โกหก ไม่กล่าวถ้วยคำหยาบคาย ไม่ใส่ร้าย
- ทางใจ  เช่น ไม่คิดเนรคุณ ไม่คิดอาฆาต ไม่คิดอยากได้ 
         8. ความสามัคคี หมายถึง  การที่ทุกคนมีความพร้อมกาย พร้อมใจ และพร้อมความคิดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายที่จะปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ โดยไม่มีการเกี่ยงงอนหรือคิดชิงดีชิงเด่นกัน  ทุกคนมุ่งที่จะให้สังคมและประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง มีความรักใคร่กลมเกลียวกันด้วยความจริงใจ  ความไม่เห็นแก่ตัว  การวางตนเสมอต้นเสมอปลายก็หมายถึงความสามัคคีด้วย   
บทบาทหน้าที่ของพลเมืองดีต่อประเทศชาติ และสังคมโลก
บทบาท  หมายถึง  การปฏิบัติตามสิทธิ  หน้าที่อันเนื่องมาจากสถานภาพของบุคคล  เนื่องจากบุคคลมีหลายสถานภาพในคนคนเดียว  ฉะนั้นบทบาทของบุคคลจึงต้องปฏิบัติไปตามสถานภาพในสถานการณ์ตามสถานภาพนั้น ๆ
หน้าที่  หมายถึง  ภาระรับผิดชอบของบุคคลที่จะต้องปฏิบัติ  เช่น  หน้าที่ของบิดาที่มีต่อบุตร  เป็นต้น
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวัฒนธรรมไทย
            วัฒนธรรม คือ แบบแผนการกระทำ หรือผลการกระทำที่พัฒนาจากสภาพเดิมตามธรรมชาติให้ดีงามยั่งยืนจนเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม  เช่น กิริยา มารยาท การพูด การแต่งกาย การรับประทานอาหาร เป็นต้น วัฒนธรรมการไหว้ เป็นวัฒนธรรมภายนอกที่มักได้รับการตอบสนองจากผู้ได้รับด้วยการไหว้ตอบนอกจากนี้ ยังมีวัฒนธรรมไทยอื่นๆที่งดงาม เช่น การกราบ การทำบุญตักบาตร การแต่งกายแบบไทย เป็นต้น
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามประเพณีไทย
            ขนบธรรมเนียมประเพณี  คือ สิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดสืบทอดกันมาและถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม  สิ่งที่ดีงามของแต่ละสังคมอาจเหมือนกัน คล้ายกัน หรือแตกต่างกันก็ได้ และสิ่งที่ดีงามของสังคมหนึ่งเมื่อเวลาผ่าน ไปสังคมนั้นอาจเห็นเป็นสิ่งไม่ดีงามก็ได้
            วัฒนธรรมและประเพณีไทย เป็นกิจกรรมที่สืบทอดมายาวนานและสังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งดีควรอนุรักษ์ไว้
การเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมไทยและสังคมโลก
          การที่บุคคลจะเป็นสมาชกที่ดีของสังคมไทยและสังคมโลก  จะต้องคำนึงถึงสถานภาพ  บทบาท  สิทธิ  เสรีภาพ  และหน้าที่ในการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี

ภาษาจีน


สาระการเรียนรู้วิชาภาษาจีน

แผนการสอนวิชาภาษาจีน ม.ต้น

  1. 1. บันทึกหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 1) หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสะกดพินอิน เวลา 5 ชั่วโมง รายวิชา ภาษาจีน1 รหัส จ 20201 ระดับชั้น ม.1 (วิชาเลือก) 2) ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 2 ระบุสัทอักษรตามระบบพินอิน และประสมเสียงคาง่าย ๆตามหลักการออกเสียง ผลการเรียนรู้ 4 ตอบคาถามง่าย ๆ จากการฟัง ผลการเรียนรู้ 7 พูดโต้ตอบด้วยประโยคสั้น ๆ เพื่อสื่อสารระหว่างบุคคล ผลการเรียนรู้ 6 พูดเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัวและสิ่งใกล้ตัว 3) ความคิดรวบยอด พูดโต้ตอบสั้นๆ ด้วยถ้อยคาสุภาพ อ่านออกเสียงคา วลี ข้อความ และบทความได้ถูกต้องตามหลักการออกเสียง อีกทั้งเข้าใจความแตกต่างระหว่างภาษาจีนกับภาษาไทยในเรื่องคา วลี สานวน ประโยค ข้อความต่างๆ และนาไปใช้ใน สถานการณ์ต่างๆอย่างถูกต้องเหมาะสม 4) สาระการเรียนรู้ ความรู้(K) – พูดโต้ตอบ – อ่านออกเสียง – เข้าใจ ทักษะกระบวนการ(P) – ถ้อยคาสุภาพตามมารยาท – คา วลี ข้อความ และบทความ – ความแตกต่างระหว่างภาษาจีนกับภาษาไทย คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) – รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ – ซื่อสัตย์สุจริต 5) สมรรถนะของผู้เรียน – ความสามารถในการจดจา – ความสามารถในการสนทนา 6) ชิ้นงาน/ภาระงาน – พูดสนทนาโต้ตอบ -บอกลักษณะร่างกายของตนเอง เพื่อน และครอบครัวตามบทเรียน
  2. 2. 7) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1 -2 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียน 2. ครูสอนเกี่ยวกับการบอกชั้นในห้องเรียน 3. อธิบายซ้าหลาย ๆ ครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนเข้าใจ ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูสอนวิธีอ่านพยัญชนะในภาษาจีนทั้งหมด 2. ให้นักเรียนฝึกอ่านด้วยตนเองซ้าไปมา 3. สอนเสียงสระจานวน 6 ตัว 4. ให้นักเรียนฝึกอ่านด้วยตนเองซ้าไปมา 5. อธิบายนักเรียนเกี่ยวกับวิธีการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน b-h กับสระ ทั้ง 6 ตัว เช่น ba mo de ni gu lü ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียน 2. ให้นักเรียนอ่านทบทวนพยัญชนะและสระที่เรียนมาทั้งหมด b p m f p t n l g k h j q x z c s zh ch sh r y w a o e I u ü
  3. 3. ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ทบทวนวิธีการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน b-h กับสระ ทั้ง 6 ตัว 2. อธิบายเกียวกับการผันเสียงในภาษาจีน เช่น bā bá bǎ bà 3. ให้นักเรียนฝึกผันเสียง ซ้า ๆ ไปมา จนแน่ใจว่านักเรียนเริ่มคล่อง 4. เล่นเกมส์ โดยให้คะแนนนักเรียนที่สามารถเขียนตามคาบอกพินอินได้อย่างถูกต้อง ตามหลักการประสม คา 5. สอนเสียงสระเพิ่มให้ครบทั้งหมด โดยอธิบายหลักการออกเสียงที่ถูกต้อง เช่น ai มาจาก เสียง a + i = ai 6. ให้นักเรียนฝึกอ่านด้วยตนเองทั้งหมดซ้าไปมาหลาย ๆ ครั้ง 7. ให้ภาระงานนักเรียน ท่องพยัญชนะ และสระทั้งหมด ชั่วโมงที่ 5-6 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียน 2. ให้นักเรียนอ่านทบทวนพยัญชนะและสระที่เรียนมาทั้งหมด ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ทบทวนวิธีการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน b-h กับสระ ทั้งหมด 2. ครูอธิบายการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน j-x กับสระ ทั้งหมด เช่น j q x ใช้ได้กับสระ i และ ü หรือสระผสมที่ขึ้นต้นด้วย i และ ü เท่านั้น เช่น ji jü qi xüe หมายเหตุ เนื่องจาก j q x ไม่สามารถผสมกับสระอื่นได้นอกจาก i และ ü ดังนั้นเวลาเขียน สระ ü จึงไม่นิยมใส่ จุด เช่น ju quan xue 3. ตั้งคาถามนักเรียนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจหลักเกณฑ์ เช่น j q x ประสมกับสระ aได้ไหม เพราะอะไร 4. ครูอธิบายการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน z-r กับสระ ทั้งหมด เช่น z c s zh ch sh r ไม่สามารถใช้ผสมได้กับสระ ü หรือสระผสมที่ ขึ้นต้นด้วย i และ ü เท่านั้น เช่น ji jü qi xüe
  4. 4. หมายเหตุ z c s zh ch sh r ผสมได้กับสระ i อ่านว่าออกเสียงเป็น “อือ” เช่น zi ci si shi 5. ตั้งคาถามนักเรียกรนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจหลักเกณฑ์ เช่น zh ประสมกับสระ aได้ไหม เพราะอะไร และ zh ประสมกับสระ ia ได้ไหม เพราะอะไร 6. เล่นเกมส์เขียนตามคาบอกบนกระดาน ชั่วโมงที่ 7-8 1. ครูทักทายนักเรียน 2. ให้นักเรียนอ่านทบทวนพยัญชนะและสระที่เรียนมาทั้งหมด ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ทบทวนวิธีการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน กับสระ ทั้งหมด 2. ตั้งคาถามนักเรียนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจหลักเกณฑ์การประสมคา เช่น j q x ประสมกับสระ aได้ไหม เพราะอะไร 3. ครูอธิบายการประสมเสียงพยัญชนะ ในภาษาจีน y-w กับสระ ทั้งหมด เช่น y+a=ya w+a=wa y+e=ye w+o=wo y+in=yin w+u=wu y+ing=ying w+ai=wai y+ao=yao w+an=wan y+an=yan w+ang=wang y+ang=yang y+a=yong y+u=yu y+=yue y+a=yun y+a=yuan
  5. 5. 4. ตั้งคาถามนักเรียกรนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจหลักเกณฑ์ เช่น y ประสมกับสระ aได้ไหม เพราะอะไร และ w ประสมกับสระ ü ได้ไหม เพราะอะไร 5. เล่นเกมส์เขียนตามคาบอกบนกระดาน 8) ขั้นสรุปการเรียนรู้ 1. ครูทบทวนคาศัพท์และประโยคต่างๆ ทั้งหมดในบทเรียน 2. นักเรียนสนทนาคู่เกี่ยวกับเนื้อหาในบทเรียน 9) การวัดและประเมินผล การประเมินผล เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 การพูด สื่อสารได้ตรงประเด็น เนื้อหาถูกต้องตามหัวข้อ ที่กาหนด ออกเสียง ถูกต้องใช้คาศัพท์ สานวน และโครงสร้าง ภาษาถูกต้อง สื่อสารได้ตรง ประเด็น เนื้อหาถูกต้อง เป็นส่วนใหญ่ ออกเสียงได้ ถูกต้อง สื่อสารได้ตรง ประเด็นเป็น บางส่วน เนื้อหา และการออกเสียง ถูกต้องเป็นบางส่วน สื่อสารได้ เนื้อหาน้อย ออกเสียง ไม่ถูกต้อง เป็นส่วนใหญ่ การประเมินสาระการเรียนรู้ 1) การประเมินความรู้ (K) วิธีประเมิน เกณฑ์การพูดสนทนา เกณฑ์การอ่านออกเสียง 2) การประเมินทักษะกระบวนการ/ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินไวยากรณ์และการสะกดคา 3) การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 10) แหล่งเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ – คอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ – ใบความรู้ – ซีดีประกอบการฟัง – แบบฝึกคัดตัวอักษรจีน
  6. 6. บันทึกหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 1) หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง 你好 ( สวัสดี ) เวลา 5 ชั่วโมง รายวิชา ภาษาจีน 1 รหัส จ 20201 ระดับชั้น ม.1 (วิชาเลือก) 2) ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 4 ตอบคาถามง่าย ๆจากการฟัง ผลการเรียนรู้ 5 พูดโต้ตอบด้วยประโยคสั้น ๆ เพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล ผลการเรียนรู้ 6 พูดเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว และสิ่งใกล้ตัว และการอนุรักษ์ไว้ซึ่ง สิ่งแวดล้อม 3) ความคิดรวบยอด ปฏิบัติตามคาสั่ง ง่ายๆ ที่ฟังเขียนเพื่อขอและ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ตนเอง เพื่อนครอบ ครัว และ การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ตัวใช้ภาษา น้าเสียง และกริยาท่าทาง สุภาพเหมาะสมตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ 4) สาระการเรียนรู้ ความรู้(K) – พูดสนทนา – อ่านและแปลความหมาย – ใช้ภาษา ทักษะกระบวนการ(P) – ถ้อยคาสุภาพตามมารยาท – ประโยคสั้นๆ – การบูรณาการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) – รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ – ใฝ่เรียนรู้ – มีจิตสาธารณะ 5) สมรรถนะของผู้เรียน – ความสามารถในการพูดสนทนา – ความสามารถในการเขียนบรรยาย 6) ชิ้นงาน/ภาระงาน – พูดสนทนา
  7. 7. 7) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูแสดงบัตรคาเกี่ยวกับคาศัพท์เกี่ยวกับคาสรรพนามต่าง ๆ เช่น 我 (ฉัน),你(เธอ), ซึ่ง เป็นคาศัพท์ประจาบทเรียน และให้นักเรียนสะกดอ่าน 2. ครูแก้ไขเสียงที่นักเรียนอ่านผิด พร้อมทั้งอ่านให้นักเรียนอ่านตามอีกครั้ง 3. ครูอธิบายความหมายของคาศัพท์ 4. ให้นักเรียนท่องคาศัพท์ประจาบทเรียนเพื่อเตรียมสอบเขียนตามคาบอกในชั่วโมงต่อไป ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 3. ครูทบทวนคาศัพท์เกี่ยวกับสรรพนาม ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูสอนนักเรียนเกี่ยวกับการทักทายสวัสดี และการแนะนาตัวเอง เช่น 你 你们 您 老师 好 我们 是 飞飞 学生 老师 สวัสดีพวกเราเป็นนักเรียน สวัสดีพวกเธอ พวกเราเป็นนักเรียน สวัสดีค่ะ พวเราเป็นครู สวัสดีค่ะคุณครู พวกเราเป็นครู 2. อธิบายซ้าไปมาจนแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจ 3. สอนรูปประโยคคาถามเกี่ยวกับการถามชื่อ พร้อมทั้งสอนให้นักเรียนตอบด้วย เช่น A: 你叫什么名字? (คุณชื่ออะไร) B: 我叫飞飞 (ฉันชื่อเฟยเฟย)
  8. 8. 4. ให้นักเรียนฝึกฝนแต่งประโยคทักทาย และจับคู่สนทนา ตั้งคาถามโต้ตอบกัน ชั่วโมงที่ 5-6 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 3. ครูทบทวนคาถามเกี่ยวกับคุณชื่ออะไร และให้นักเรียนตอบเป็นภาษาจีน ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูทบทวนเกี่ยวกับการทักทายในภาษาจีน 2. ครูอธิบายการถามนามสกุลในภาษาจีน เช่น A:你姓什么? B: 我姓王。 3. ครูแสดงรูปภาพ และตั้งคาถามนักเรียนพร้อมทั้งให้นักเรียนตอบเช่น A: 他姓什么? B: 他姓杨。 4. ให้นักเรียนจับคู่สนทนาเป็นภาษาจีน ชั่วโมงที่ 7-8 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 3. ครูถามนักเรียนว่าคุณชื่ออะไร คุณนามสกุลอะไร ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ให้นักเรียนสะกดอ่านบทสนทนาด้วยตัวเอง 2. ครูแก้ไขเสียงที่ผิดให้ถูกต้อง พร้อมทั้งอ่านนาให้นักเรียนอ่านตามหนึ่งรอบ 3. ให้นักเรียนแปลบทสนทนาไปทีละประโยคด้วยตัวเอง 4. ครูอธิบายสานวน หรือประโยคที่นักเรียนไม่สามารถแปลด้วยตัวเองได้พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล 5. ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาในบทสนทนา และให้นักเรียนตอบเป็นภาษาจีน 6. ให้นักเรียนจดบันทึกคาแปลบทสนทนาลงในสมุด
  9. 9. 8) ขั้นสรุปการเรียนรู้ 1. ครูทบทวนคาศัพท์และประโยคต่างๆ ทั้งหมดในบทเรียน 2. นักเรียนพูดสนทนากับเพื่อน 3. ครูให้นักเรียนตัวแทนออกมาเขียนแยกขีดตัวอักษรจีนที่บนกระดาน 9) การวัดและประเมินผล การประเมินผล เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 การสนทนา การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง พูดได้ อย่างคล่อง แคล่ว สื่อสาร ชัดเจน สมบูรณ์ การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง พูดได้ อย่างคล่อง แคล่ว สื่อสารชัดเจน เป็นส่วนใหญ่ การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง เป็น บางส่วน คล่องแคล่ว สื่อสารชัดเจน พอเข้าใจ การออกเสียง และเนื้อหาไม่ ถูกต้อง พูด ท่องจา ตะกุกตะกัก สื่อสารได้น้อย หรือไม่ได้เลย การประเมินสาระการเรียนรู้ 1) การประเมินความรู้ (K) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินการสนทนา เกณฑ์การประเมินการแปลความหมาย เกณฑ์การประเมินทักษะการอ่าน 2) การประเมินทักษะกระบวนการ/ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินอ่านออกเสียง 3) การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 10) แหล่งเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ – ใบความรู้ – ซีดีประกอบการฟัง – แบบฝึกคัดตัวอักษรจีน – รูปภาพ
  10. 10. บันทึกหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 1) หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง 你真好 ( เธอดีจริง ๆ ) เวลา 5 ชั่วโมง รายวิชา ภาษาจีน 1 รหัส จ 20201 ระดับชั้น ม.1 (วิชาเลือก) 2) ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 4 ตอบคาถามง่าย ๆจากการฟัง ผลการเรียนรู้ 5 พูดโต้ตอบด้วยประโยคสั้น ๆ เพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล ผลการเรียนรู้ 6 พูดเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว และสิ่งใกล้ตัว และการอนุรักษ์ไว้ซึ่ง สิ่งแวดล้อม 3) ความคิดรวบยอด ปฏิบัติตามคาสั่ง ง่ายๆ ที่ฟังเขียนเพื่อขอและ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ตนเอง เพื่อนครอบ ครัว และ การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ตัวใช้ภาษา น้าเสียง และกริยาท่าทาง สุภาพเหมาะสมตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ 4) สาระการเรียนรู้ ความรู้(K) – พูดสนทนา – อ่านและแปลความหมาย – ใช้ภาษา ทักษะกระบวนการ(P) – ถ้อยคาสุภาพตามมารยาท – ประโยคสั้นๆ – การบูรณาการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) – รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ – ใฝ่เรียนรู้ – มีจิตสาธารณะ 5) สมรรถนะของผู้เรียน – ความสามารถในการพูดสนทนา – ความสามารถในการเขียนบรรยาย 6) ชิ้นงาน/ภาระงาน – พูดสนทนา
  11. 11. 7) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 3. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 4. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 5. ครูสอนนักเรียนให้ตอบคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียน เช่น 你今天打扫教 室了吗?วันนี้คุณทาความสะอาดห้องหรือยัง และสอนให้นักเรียนฝึกฝนตอบในรูปบอก เล่าและปฏิเสธ เพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะการฟัง ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 5. ครูแสดงบัตรคาเกี่ยวกับคาศัพท์เกี่ยวกับคาคุณศพท์ต่าง ๆ เช่น 漂亮 (สวย),帅(หล่อ), 干净(สะอาด) ซึ่งเป็นคาศัพท์ประจาบทเรียน และให้นักเรียนสะกดอ่าน 6. ครูแก้ไขเสียงที่นักเรียนอ่านผิด พร้อมทั้งอ่านให้นักเรียนอ่านตามอีกครั้ง 7. ครูอธิบายความหมายของคาศัพท์ 8. ให้นักเรียนท่องคาศัพท์ประจาบทเรียนเพื่อเตรียมสอบเขียนตามคาบอกในชั่วโมงต่อไป 9. ครูทบทวนคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนอีกครั้ง เช่น 你今天打扫教室了 吗?วันนี้คุณทาความสะอาดห้องหรือยัง ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 4. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 5. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 6. ครูทบทวนคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนอีกครั้ง เช่น 你今天打扫教室了 吗?วันนี้คุณทาความสะอาดห้องหรือยัง 7. ครูสอนนักเรียนให้ตอบคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียน เช่น 今天教室干净 吗?วันนี้ห้องเรียนสะอาดหรือไม่ และสอนให้นักเรียนฝึกฝนตอบในรูปบอกเล่าและปฏิเสธ เพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะการฟัง
  12. 12. ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 5. ครูสอนนักเรียนเกี่ยวกับการแต่งประโยคด้วยคุณศัพท์ เช่น ประธาน คาวิเศษณ์ คาคุณศัพท์ 教室 真 干净 ห้องเรียน จริง ๆ สะอาด 6. อธิบายซ้าไปมาจนแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจ 7. สอนรูปประโยคคาถามเกี่ยวกับการถามตอบด้วย เช่น A: 教室干净吗? (ห้องเรียนสะอาดไหม) B: 教室不干净 教室很干净 (ห้องเรียนไม่สะอาด/ ห้องเรียนสะอาดมาก) 8. ให้นักเรียนฝึกฝนใช้คุณศัพท์แต่งประโยค และจับคู่สนทนา ตั้งคาถามโต้ตอบกัน ชั่วโมงที่ 5-6 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 4. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 5. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 6. ครูทบทวนคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนอีกครั้ง เช่น 你今天打扫教室了 吗?วันนี้คุณทาความสะอาดห้องหรือยัง 今天教室干净吗?วันนี้ห้องเรียน สะอาดหรือไม่ 7. ครูกล่าวชมนักเรียน หรือติเตียนนักเรียน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมใน้ห้องเรียน เช่น 你们真棒 พวกคุณทาได้ดีมาก หรือ 你们真不好 พวกคุณทาได้ไม่ดีเลย เพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะ การฟัง ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 5. ครูอธิบายนักเรียนเกี่ยวกับการตอบรับคาชม เช่น A:今天真干净,你们真好。 วันนี้สะอาดจริง ๆ พวกคุณดีมากเลย B: 谢谢。ขอบคุณค่ะ/ ครับ 6. ครูแสดงรูปภาพ และตั้งคาถามนักเรียนพร้อมทั้งให้นักเรียนตอบเช่น 7. A: 空气干净吗? (อากาศสะอาดไหม)
  13. 13. 8. B: 不干净 很干净 (ไม่สะอาด/ สะอาดมาก) 9. ให้นักเรียนจับคู่สนทนาเป็นภาษาจีน ชั่วโมงที่ 7-8 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 4. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 5. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 6. ครูทบทวนคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนอีกครั้ง เช่น 你今天打扫教室了 吗?วันนี้คุณทาความสะอาดห้องหรือยัง 今天教室干净吗?วันนี้ห้องเรียน สะอาดหรือไม่ 7. ครูกล่าวชมนักเรียน หรือติเตียนนักเรียน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมใน้ห้องเรียน เช่น 你们真棒 พวกคุณทาได้ดีมาก หรือ 你们真不好 พวกคุณทาได้ไม่ดีเลย เพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะ การฟัง ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 7. ให้นักเรียนสะกดอ่านบทสนทนาด้วยตัวเอง 8. ครูแก้ไขเสียงที่ผิดให้ถูกต้อง พร้อมทั้งอ่านนาให้นักเรียนอ่านตามหนึ่งรอบ 9. ให้นักเรียนแปลบทสนทนาไปทีละประโยคด้วยตัวเอง 10. ครูอธิบายสานวน หรือประโยคที่นักเรียนไม่สามารถแปลด้วยตัวเองได้พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล 11. ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาในบทสนทนา และให้นักเรียนตอบเป็นภาษาจีน 12. ให้นักเรียนจดบันทึกคาแปลบทสนทนาลงในสมุด ชั่วโมงที่ 9-10 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระ และคาศัพท์ในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 3. ครูทบทวนคาถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนอีกครั้ง เช่น 你今天打扫教室了 吗?วันนี้คุณทาความสะอาดห้องหรือยัง 今天教室干净吗?วันนี้ห้องเรียน สะอาดหรือไม่
  14. 14. 4. ครูกล่าวชมนักเรียน หรือติเตียนนักเรียน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมใน้ห้องเรียน เช่น 你们真棒 พวกคุณทาได้ดีมาก หรือ 你们真不好 พวกคุณทาได้ไม่ดีเลย เพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะ การฟัง ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ให้นักเรียนสะกดอ่านบทสนทนาด้วยตัวเอง 2. ครูแก้ไขเสียงที่ผิดให้ถูกต้อง พร้อมทั้งอ่านนาให้นักเรียนอ่านตามหนึ่งรอบ 3. ให้นักเรียนแปลบทสนทนาไปทีละประโยคด้วยตัวเอง 4. ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาในบทสนทนา และให้นักเรียนตอบเป็นภาษาจีน 5. ครูสอนนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องราวอักษรจีน ในหนังสือ สัมผัสภาษาจีน หน้าที่ 41 เพื่อให้นักเรียน เข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของภาษาจีน 8) ขั้นสรุปการเรียนรู้ 4. ครูทบทวนคาศัพท์และประโยคต่างๆ ทั้งหมดในบทเรียน 5. นักเรียนพูดสนทนากับเพื่อน 6. ครูให้นักเรียนตัวแทนออกมาเขียนแยกขีดตัวอักษรจีนที่บนกระดาน 9) การวัดและประเมินผล การประเมินผล เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 การสนทนา การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง พูดได้ อย่างคล่อง แคล่ว สื่อสาร ชัดเจน สมบูรณ์ การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง พูดได้ อย่างคล่อง แคล่ว สื่อสารชัดเจน เป็นส่วนใหญ่ การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง เป็น บางส่วน คล่องแคล่ว สื่อสารชัดเจน พอเข้าใจ การออกเสียง และเนื้อหาไม่ ถูกต้อง พูด ท่องจา ตะกุกตะกัก สื่อสารได้น้อย หรือไม่ได้เลย การประเมินสาระการเรียนรู้ 1) การประเมินความรู้ (K) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินการสนทนา เกณฑ์การประเมินการแปลความหมาย เกณฑ์การประเมินทักษะการอ่าน
  15. 15. 2) การประเมินทักษะกระบวนการ/ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินอ่านออกเสียง 3) การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 10) แหล่งเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ – ใบความรู้ – ซีดีประกอบการฟัง – แบบฝึกคัดตัวอักษรจีน – รูปภาพ
  16. 16. บันทึกหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 1) หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง五个香蕉 (กล้วย 5 ผล) เวลา 5 ชั่วโมง รายวิชา ภาษาจีน 1 รหัส จ 20201 ระดับชั้น ม.1 (วิชาเลือก) 2) ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 1 ปฏิบัติตามคาสั่ง ง่าย ๆ ผลการเรียนรู้ 4 ตอบคาถามง่าย ๆจากการฟัง ผลการเรียนรู้ 5 พูดโต้ตอบด้วยประโยคสั้น ๆ เพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล 3) ความคิดรวบยอด ปฏิบัติตามคาสั่ง ง่ายๆ ที่ฟังเขียนเพื่อขอและ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ตนเอง เพื่อนครอบ ครัว และ สิ่ง ใกล้ตัวใช้ ภาษา น้าเสียง และกริยาท่าทาง สุภาพเหมาะสมตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้อย่างเหมาะสม กับกาลเทศะ 4) สาระการเรียนรู้ ความรู้(K) – พูดสนทนา – อ่านและแปลความหมาย – ใช้ภาษา ทักษะกระบวนการ(P) – ถ้อยคาสุภาพตามมารยาท – ประโยคสั้นๆ – การบูรณาการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) – รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ – ใฝ่เรียนรู้ – มีจิตสาธารณะ 5) สมรรถนะของผู้เรียน – ความสามารถในการพูดสนทนา – ความสามารถในการเขียนบรรยาย 6) ชิ้นงาน/ภาระงาน – พูดสนทนา
  17. 17. 7) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ และสระในภาษาจีน ทั้งหมดพร้อมกัน 3. ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน เช่น วันนี้ห้องเรียนสะอาดหรือไม่ พร้อมทั้งชม และติเตียนนักเรียนด้วยรูปประโยคของบทที่ 3 4. ครูสอนนักเรียนการเปรียบเทียบราคาผลไม้ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจถึงความหมายของเศรษฐกิจ พอเพียง เช่น A:西瓜贵,香蕉便宜,你要什么?แตงโมแพง กล้วยถูก คุณต้องการ อะไร B: 我的钱不够,我要香蕉。เงินของฉันไม่พอ ฉันต้องการกล้วย ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูแสดงบัตรคาเกี่ยวกับคาศัพท์ผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นคาศัพท์ประจาบทเรียน และให้นักเรียนสะกด อ่าน 2. ครูแก้ไขเสียงที่นักเรียนอ่านผิด พร้อมทั้งอ่านให้นักเรียนอ่านตามอีกครั้ง 3. ครูอธิบายความหมาย ของคาศัพท์ 4. ให้นักเรียนท่องคาศัพท์ประจาบทเรียนเพื่อเตรียมสอบเขียนตามคาบอกในชั่วโมงต่อไป ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ครูแสดงรูปภาพเกี่ยวกับสิ่งของและถามนักเรียน นักเรียนต้องการอันไหน เช่น A:西瓜贵,香蕉便宜,你要什么?แตงโมแพง กล้วยถูก คุณ ต้องการอะไร B:我要香蕉。ฉันต้องการกล้วย A:为什么?ทาไม B: 我的钱不够。เงินของฉันไม่เพียงพอ 3. ให้นักเรียนท่องทบทวนพยัญชนะ สระในภาษาจีน และสะกดอ่านคาศัพท์ ทั้งหมดพร้อมกัน
  18. 18. 4. ให้นักเรียนสอบเขียนตามคาบอก เกี่ยวกับคาศัพท์ประจาบทเรียน ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูสอนนักเรียนนับหนึ่ง ถึงสิบ 2. อธิบายการใช้โครงสร้างลักษณะนาม个 เช่น จานวน ลักษณะนาม คานาม 三 个 木瓜 สาม ลูก มะละกอ 3. อธิบายซ้าไปมาจนแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจ 4. ครูแสดงรูปภาพเกี่ยวกับเครื่องเขียนและให้นักเรียนพูดแต่งประโยคเป็นภาษาจีนด้วยรูปประโยค ที่เรียน 5. ครูสอนนักเรียนเกี่ยวกับการตั้งคาถามและตอบคาถามในบทเรียน เช่น A: 你要什么?คุณต้องการอะไร B:我要一个菠萝。ฉันต้องการสับปะรดหนึ่งลูก 6. ครูแสดงรูปภาพเกี่ยวกับผลไม้ตั้งคาถามนักเรียนและให้นักเรียนพูดตอบด้วยรูปประโยคที่เรียน เป็นภาษาจีน ชั่วโมงที่ 5-6 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ครูแสดงรูปภาพเกี่ยวกับผลไม้และถามนักเรียน นักเรียนต้องการอันไหน เช่น A:西瓜贵,香蕉便宜,你要什么?แตงโมแพง กล้วยถูก คุณ ต้องการอะไร B:我要香蕉。ฉันต้องการกล้วย 3. ให้นักเรียนทบทวนพยัญชนะ และสระพินอิน พร้อมทั้งสะกดอ่านคาศัพท์ในบทเรียน ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูให้นักเรียนฝึกอ่านบทความหน้าที่ 44 ด้วยตัวเอง 2. ครูแก้ไขเสียงให้ถูกต้อง
  19. 19. 3. ให้นักเรียนหัดแปลไปทีละประโยคด้วยตนเอง 4. ครูตั้งคาถามเกี่ยวกับเนื้อหาในบทความและให้นักเรียนตอบ เช่น A:他要什么?เขาคุณต้องการอะไร B: 他要一个香蕉。เขาต้องการกล้วยหนึ่งลูก ชั่วโมงที่ 7-8 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ครูแสดงรูปภาพเกี่ยวกับผลไม้และถามนักเรียน นักเรียนต้องการอั เช่น A:西瓜贵,香蕉便宜,你要什么?แตงโมแพง กล้วยถูก คุณ ต้องการอะไร B:我要香蕉。ฉันต้องการกล้วย 3. ให้นักเรียนทบทวนพยัญชนะ และสระพินอิน พร้อมทั้งสะกดอ่านคาศัพท์ในบทเรียน ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ให้นักเรียนสะกดอ่านบทสนทนาหน้าที่ 45 2. ให้นักเรียนแปลบทสนทนาด้วยตนเอง 3. ครูแก้ไขคาที่นักเรียนอ่านผิดให้ถูกต้อง 4. ให้นักเรียนจับคู่แต่งบทสนทนาและฝึกฝนสนทนาโต้ตอบ 5. ให้นักเรียนแปลประโยคบทสนทนาและบันทึกลงในสมุด ชั่วโมงที่ 9-10 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทักทายนักเรียนด้วยภาษาจีน 2. ครูแสดงรูปภาพเกี่ยวกับผลไม้และถามนักเรียน นักเรียนต้องการอั เช่น A:西瓜贵,香蕉便宜,你要什么?แตงโมแพง กล้วยถูก คุณ ต้องการอะไร B:我要香蕉。ฉันต้องการกล้วย
  20. 20. 3. ให้นักเรียนทบทวนพยัญชนะ และสระพินอิน พร้อมทั้งสะกดอ่านคาศัพท์ และบทสนทนาใน บทเรียน ขั้นสอน/ฝึกปฏิบัติ 1. ครูสอนนักเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีน ในหน้าที่ 50 2. ครูตั้งคาถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีน ในหน้าที่ 50 3. ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดในหน้าที่ 48 8) ขั้นสรุปการเรียนรู้ 7. ครูทบทวนคาศัพท์และประโยคต่างๆ ทั้งหมดในบทเรียน 8. นักเรียนพูดสนทนากับเพื่อน 9. ครูให้นักเรียนตัวแทนออกมาเขียนแยกขีดตัวอักษรจีนที่บนกระดาน 9) การวัดและประเมินผล การประเมินผล เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 การสนทนา การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง พูดได้ อย่างคล่อง แคล่ว สื่อสาร ชัดเจน สมบูรณ์ การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง พูดได้ อย่างคล่อง แคล่ว สื่อสารชัดเจน เป็นส่วนใหญ่ การออกเสียง และเนื้อหา ถูกต้อง เป็น บางส่วน คล่องแคล่ว สื่อสารชัดเจน พอเข้าใจ การออกเสียง และเนื้อหาไม่ ถูกต้อง พูด ท่องจา ตะกุกตะกัก สื่อสารได้น้อย หรือไม่ได้เลย การประเมินสาระการเรียนรู้ 1) การประเมินความรู้ (K) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินการสนทนา เกณฑ์การประเมินการแปลความหมาย เกณฑ์การประเมินทักษะการอ่าน 2) การประเมินทักษะกระบวนการ/ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินอ่านออกเสียง 3) การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
  21. 21. วิธีประเมิน เกณฑ์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 10) แหล่งเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ – ใบความรู้ – ซีดีประกอบการฟัง – แบบฝึกคัดตัวอักษรจีน – รูปภาพ

พระพุทธศาสนา


  1. หน้าที่ชาวพุทธ
ชาวพุทธ มีหน้าที่มากมายหลายประการที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ ปฏิบัติ เพื่อที่จะรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และเพื่อทำนุบำรุงอุปถัมภ์ สืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป
1.1 หน้าที่และบทบาทของพระภิกษุสามเณร   พระนักเทศน์ ได้แก่ พระภิกษุที่ปฏิบัติหน้าที่สอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป โดยการแสดงธรรม (เทศน์) และจะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นพระนักเทศน์ตามหลักสูตรของมหาเถรสมาคมแต่งตั้ง มี 2ประเภท คือ
  1. พระนักเทศน์แม่แบบ หมายถึง พระนักเทศน์ที่ผ่านการอบรมจากคณะกรรมการฝึกอบรมพระนักเทศน์ที่มหาเถรสมาคมแต่งตั้งเพื่อไปจัดอบรมพระนักเทศน์ประจำจังหวัด
  2. พระนักเทศน์ประจำจังหวัด หมายถึง พระนักเทศน์ที่ผ่านการอบรมปฏิบัติหน้าที่เทศน์ภายในจังหวัดที่สังกัดหรือสถานที่ที่ทายกอาราธนานอกจากนั้น พระภิกษุทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถ ก็สามารถเป็นพระนักเทศน์ได้ โดยให้การสอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และต้องมีความรู้ทางด้านธรรมเป็นอย่างดียิ่ง
พระธรรมทูต (อ่านว่า -ทำมะทูด) พระธรรมจาริก หมายถึงภิกษุที่เดินทางไปแสดงธรรมในที่ต่างๆ ทำหน้าที่เหมือนทูตทางธรรมหรือทูตของพระศาสนาพระธรรมทูตเริ่มมีครั้งแรกเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจนมีพระสาวกมากรูปแล้วจึงส่งพระสาวกเหล่านั้นไปประกาศธรรมในทิศต่างๆ โดยตรัสว่า “เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชุมชน เพื่ออนุเคราะห์แก่ประชุมชน” ดังนี้เป็นต้น
พระธรรมจาริก มีความหมายเดียวเช่นเดียวกันกับพระธรรมทูต แต่เป็นคำบัญญัติที่เกิดที่หลังคำว่าพระธรรมทูตปัจจุบันแบ่งพระธรรมทูตออกเป็น 2 ประเภทคือ พระธรรมทูตในประเทศ กับ พระธรรมทูตต่างประเทศ
DSC04456
  1.2 การปฏิบัติตนตามหลักทิศเบื้องล่างในทิศ 6
ทิศเบื้องล่าง ลูกจ้าง บุคคลที่ต่ำกว่า ลูกจ้างเปรียบเสมือนทิศเบื้องล่าง ที่นายจ้างต้องแสดงความกตัญญูต่อลูกจ้างเพราะลูกจ้างทำกิจการงานต่างๆให้ สำเร็จประโยชน์ ในขณะเดียวกันลูกจ้างก็ต้องแสดงความกตัญญูต่อนายจ้างในฐานะของผู้อุปการะคุณ ดังนี้
working400-lpa040412.1
หน้าที่ของนายจ้างพึงมีต่อลูกจ้าง    
1.จัดงานให้ทำตามความเหมาะสม
2.ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งาน
3.จัดให้มีสวัสดิการที่ดี
4.มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
5.ให้มีวันหยุด และพักผ่อนหย่อนใจ ตามโอกาสอันควร
chart-1
หน้าที่ลูกจ้างพึงมีต่อนายจ้าง
1.เริ่มทำงานก่อน
2.เลิกงานทีหลัง
3.เอาแต่ของที่นายให้
4.ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
5.นำความดีของนายงานและกิจการไปเผยแพร่
  1. หน้าที่ชาวพุทธ
2.1 การปฏิสันถารที่เหมาะสมต่อพระภิกษุในโอกาสต่าง ๆ
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์ในที่สาธารณะเนื่องจากพระสงฆ์อยู่ในฐานะที่ควรเคารพของชาวพุทธชาวพุทธจึงควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์ดังต่อไปนี้
1) เวลาพบปะในสถานที่ต่าง ๆ เวลาพบปะพระสงฆ์ในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ตามถนน บนรถโดยสาร หรือสถานที่ต่าง ๆ พึงปฏิบัติดัง
1.1) แสดงความเคารพ ด้วยการประนมมือ (อัญชลี) ไหว้ (วันทา หรือนมัสการ) กราบ (อภิวาท) หรือลุกขึ้นยืนรับ (ปัจจุคมน์) ตามสมควรแก่โอกาสและสถานที่
page_70
1.2) ไม่พึงนั่งบนอาสนะ (ที่นั่ง) เดียวกับพระภิกษุ ถ้าจำเป็นต้องนั่ง ก็พึงนั่งด้วยอาการเคารพสำรวม
1.3) สำหรับสตรี จะนั่งบนม้ายาวหรือเก้าอี้ยาว เช่น ที่นั่งในรถโดยสาร รถไฟ เป็นต้น ไม่ได้โดยเด็ดขาด แม้จะนั่งคนละมุมก็ตาม ในกรณีที่จำเป็น จะต้องมีบุรุษมานั่งคั่นกลางให้
1.4) ในห้องประชุมที่มีพระสงฆ์เข้าร่วมด้วย เช่น ในการฟังปาฐกถา การบรรยาย ถึงจัดให้ท่านนั่งแถวหน้า ถ้าจัดที่นั่งให้สูงกว่าคฤหัสถ์ได้ยิ่งเป็นการดี
1.5) บนเรือหรือบนรถโดยสาร เป็นต้น เมื่อเห็นพระภิกษุขึ้นมา พึงลุกให้ที่นั่งแก่ท่านด้วย
2) การถวายภัตตาหารและปัจจัยที่สมควรแก่สมณะ การถวายภัตตาหารและปัจจัยที่สมควรแก่สมณะ พึงปฏิบัติดังนี้
2.1) เวลาใส่บาตร พึงถอดรองเท้า ตักข้าวและอาหารใส่บาตรด้วยความเคารพแล้วย่อตัวลงไหว้
2.2) เมื่อถวายอาหาร หรือเครื่องอุปโภคแก่พระภิกษุ พึงประเคน คือยกของให้ท่านภายใน “หัตถบาส” (ระยะบ่วงมือ คือ ห่างประมาณหนึ่งศอก)
2.3) เมื่อนำของไปถวายพระภิกษุหลังเที่ยง ไม่พึงประเคนให้ท่าน ถึงวางไว้เฉย ๆ หรือให้ศิษย์วัดนำไปเก็บไว้ต่างหาก (การปฏิบัติเช่นนี้เพื่อมิให้ท่านละเมิดข้อบัญญัติว่าด้วยการสะสมอาหาร)
2.4) เมื่อจะถวายปัจจัย (เงิน) ไม่พึงประเคนให้ท่าน พึงถวายเฉพาะใบปวารณามอบเงินให้ไวยาวัจกรหรือศิษย์วัด ในกรณีที่ไม่มีไวยาวัจกรหรือศิษย์วัด พึงเอาปัจจัยใส่ซองใส่ลงในย่ามให้ท่านเอง
2.5) เวลานิมนต์พระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านตน ไม่พึงระบุชื่ออาหาร
2.6) ถ้าจะนิมนต์พระสงฆ์ไปรับสังฆทาน ไม่พึงเจาะจงภิกษุผู้รับ เช่น ขอนิมนต์ท่านเจ้าคุณพร้อมพระสงฆ์อีกห้ารูปไปรับสังฆทาน เป็นต้น
3) เวลาสนทนากับพระสงฆ์หรือฟังโอวาทการสนทนาหรือฟังโอวาทกับพระสงฆ์ ควรปฏิบัติดังนี้
3.1) ใช้สรรพนามให้เหมาะสม คือใช้สรรพนามแทนผู้ชายว่า “ผม, กระผม” ผู้หญิงใช้คำว่า “ดิฉัน”
3.2) ใช้สรรพนามแทนท่านว่า “พระคุณเจ้า, หลวงพ่อ, ท่านพระครู, ท่านเจ้าคุณ, ใต้เท้า, พระเดชพระคุณ” ตามควรแก่กรณี
3.3) เวลารับคำ ผู้ชายใช้คำว่า “ครับ, ขอรับ” ผู้หญิงใช้คำว่า “ค่ะ, เจ้าค่ะ”
3.4) เวลาพระท่านพูด พึงตั้งใจฟังโดยความเคารพ ไม่พึงขัดจังหวะหรือพูดแทรกขึ้นมาในระหว่างที่ท่านกำลังพูดอยู่
3.5) เวลาท่านให้โอวาทหรืออวยพร พึงประนมมือฟังโดยเคารพ
3.6) เวลารับไตรสรณคมน์ และรับศีล พึงว่าตามด้วยเสียงดัง ไม่พึงนั่งเงียบเฉย ๆ
3.7) เวลาฟังพระสวด เช่น สวดเจริญพุทธมนต์ สวดศพ เป็นต้น พึงประนมมือฟังด้วยความเคารพ ไม่คุยกันหรือทำอย่างอื่นในระหว่างที่ท่านกำลังสวด
พระสงฆ์ คือผู้สละความสุขหรือวิธีการดำเนินชีวิตแบบฆราวาสเข้ารับการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาและศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นำมาเผยแผ่แสดงแก่พุทธศาสนิกชน เพราะฉะนั้น เราจึงควรประพฤติปฏิบัติต่อพระสงฆ์ให้ถูกต้องเหมาะสมตามมารยาทที่พึงปฏิบัติ ดังนี้
การเดินสวนกับพระสงฆ์ เมื่อเดินสวนกับพระสงฆ์ ควรหลีกติดข้างทางด้านซ้ายมือของพระสงฆ์ ยืนตรง เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านหน้าให้น้อมตัวลงไหว้ หากท่านพูดด้วย ควรประนมมือพูดกับท่านด้วยกิริยาอาการอันสำรวม หากท่านไม่พูดด้วยควรยกมือไหว้แล้วลดมือลง
เมื่อท่านเดินผ่านไปการเดินผ่านพระสงฆ์ หากพระสงฆ์ยืนอยู่ให้น้อมตัวลงไหว้ แล้วเดินก้มตัวหลีกไป หากพระสงฆ์นั่งอยู่ ให้คลานลงมือทั้งสองข้างเมื่อถึงตรงหน้าพระสงฆ์ให้ก้มลงกราบหรือประนมมือไหว้ตามที่สถานที่จะเอื้ออำนวยแล้วคลานลงมือผ่านไป
tradition05
การเดินตามพระสงฆ์ ให้เดินตามหลังพระสงฆ์โดยเยื้องไปทางซ้ายของท่าน ระยะห่างประมาณ 2-3 ก้าว และเดินด้วยอาการสำรวมกิริยาให้เรียบร้อยการสนทนากับพระสงฆ์ เมื่อกำลังสนทนากับพระสงฆ์ ควรประนมมือในขณะที่พูดกับท่าน ไม่ควรพูดล้อเล่น พูดคำหยาบและเรื่องไร้สาระรวมทั้งไม่พูดสนทนากับท่านในที่ลับตาสองต่อสองเพราะเป็นการผิดวินัยของพระสงฆ์ และก่อให้เกิดข้อครหาแก่บุคคลทั่วไป
2.2 การปฏิสันถารตามหลักปฏิสันถาร 2
คำว่า “ปฏิสันถาร” ได้แก่ การต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น, อาการเครื่องเผื่อแผ่, การต้อนรับปราศรัย มี 2 ประการได้แก่
  1. อามิสปฏิสันถาร การปฏิสัณฐานด้วยอามิส ได้แก่ การต้อนรับด้วยปัจจัยสี่อย่างใดอย่างหนึ่งพอเหมาะพอควรแก่แขกผู้มาหา โดยความสุภาพเรียบร้อยสิ่งที่มนุษย์เกิดช่องว่างระหว่างกันและกันก็คือ เรื่องเกี่ยวกับปัจจัย 4 ได้แก่อาหารการบริโภค เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รวมเครื่องประดับต่างๆ เข้าด้วย ที่อยู่อาศัยรวมยวดยานพาหนะต่างๆ เข้าด้วย ยารักษาโรคมรวมเครื่องสุขภัณฑ์ต่างๆ เข้าด้วย ความเป็นอยู่ของมนุษย์เราไม่เหมือนกัน บางคนอยู่ในสกุลหรือภูมิประเทศได้เปรียบอาจมีปัจจัย 4 เหล่านี้ใช้อย่างเหลือเฟือ ส่วนคนที่อยู่ในสกุลหรือภูมิประเทศอันเสียเปรียบอาจมีปัจจัย 4 เหล่านี้น้อยหรือหาไม่ได้เลย ถ้ามนุษย์เราไม่มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เข้าทำนองที่ว่า “คนรวยก็รวยเหลือล้น คนจนก็จนเหลือหลาย” ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างมนุษย์ด้วยกันอย่างมากมายจนกลายเป็นแบ่งชนชั้นแตก แยกบาดหมาง ไม่มีทางประนีประนอมกันได้ เกิดการยื้อแย่งแข่งขันเบียดเบียน ปล้นสดมภ์เข่นฆ่ากันอย่างกว้างขวาง หาความสงบสุขไม่ได้ ฉะนั้น คนรวยจึงต้องสงเคราะห์เกื้อกูลคนจนด้วยปัจจัย 4 ตามสมควร อย่าเป็นคนคับแคบเสวยสุขอยู่แต่ผู้เดียว อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบคนจนอยู่ทุกท่า แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา จะเข้าตำราที่ว่า “ยิ่งรวยก็ยิ่งคับแคบ ยิ่งรวยก็ยิ่งงก ยิ่งรวยก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งรวยก็ยิ่งเอาเปรียบคนอื่น” ถ้าสังคมมีบุคคลประเภทนี้มากความสงบสุขจะมีไม่ได้เลย
รวม ความว่า อามิสสปฏิสันถาร หมายถึง การให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน การต้อนรับปราศรัยด้วยใช้พัสดุสิ่งของเหมาะแก่ความต้องการ โดยควรแก่ฐานะของแขกผู้มาหา
  1. ธัมมปฏิสันถาร การปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่ การต้อนรับด้วยพูดจาปราศรัย ด้วยคำพูดที่สุภาพอ่อนโยน และคำพูดที่อ่อนหวาน และประกอบด้วยประโยชน์
มนุษย์เรายามประสบเคราะห์กรรมมีทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ ย่อมต้องการที่พึ่งทางใจ หากเราไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือได้ทางปัจจัย 4 เพราะเราก็อยู่ในสภาพเดียวกับเขา แต่เรามีกำลังใจดีกว่าเขา รู้วิธีแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีกว่าเขา เราจะนิ่งเฉยดูความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์โดยไม่ช่วยเหลืออะไรเลยนั้นไม่ได้ ที่ถูกต้องใช้ธรรมเป็นเครื่องปลุกปลอบใจเขา และข้อปฏิบัติในการดำเนินชีวิตให้เขาอยู่รอดปลอดภัยพ้นจากเคราะห์กรรมต่างๆ นั้น
การสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างนี้ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “ปฏิสันถาร” แปลว่า การอุดรูรั่วต่างๆ ระหว่างตนกับคนอื่น ก่อให้เกิดสามัคคีธรรมขึ้นระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ลบล้างรอยแตกแยกความร้าวฉานให้หมดสิ้นไป มีความคิดเห็นตรงกันแม้จะมีฐานะต่างกันก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสงบสุข
103

พละ

สุขศึกษาและพลศึกษาสำคัญอย่างไร? สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมายเพื่อการดำรงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ และการพัฒนาค...